การตายและการทำศพ
เมื่อมีคนจวนจะตาย
ญาติผู้อยู่ใกล้ชิดจะบอกหนทางขอให้คนจวนจะตายนึกถึงพระ
คำที่บอกนั้คือคำว่า "
พระอรหํ "
เมื่อมีการตายลงคนไทยนิยมการเผามากกว่าการฝัง
และบางรายทำทั้งสองอย่างคือ
ฝังไว้พอควรแล้วจึงเผาอีกทีหนึ่ง
พิธีรีตรองคนไทยเกี่ยวกับการตายมีอยู่มากถึงขนาดที่เรียกกันติดปากว่า
คนตายขายคนเป็นทีเดียวนั้นหมายถึงคนเป็นต้องทำบุญสุนทานให้ตลอดเวลานานทีเดียว
(๑)
เมื่อตายครบ ๗ วัน
มีพิธีทำบุญเรียกว่าทำบุญ
๗ วัน หรือ สัตตมวาร
(๒)
เมื่อตายครบ ๕๐ วัน
มีพิธีทำบุญเรียกว่าทำบุญ
๕๐ วัน หรือ ปัญญาสมวาร
(๓)
เมื่อตายครบ ๑๐๐ วัน
มีพิธีทำบุญเรียกว่าทำบุญ
๑๐๐ วันหรือ หรือ ศตมวาร
ประเพณีการทำศพ
คราวทำศพนางวันทองมีอยู่อย่างไร
น่าจะชี้ให้เห็นวัฒนธรรมโบราณในเรื่องนี้ได้ดี
จึงนำมากล่าวพอสังเขป
ที่ตั้งศพงดงาม
เป็นศพที่ได้รับพระราชทานหีบหลวงและการจัดทำก็ทำอย่างของหลวงเป็นภูเขาประดับประดาด้วยภาพต่างๆ
เช่น เมขลาล่อแก้ว,
รูปอรหันต์, ตั้งกระถาง,ไม้ดัด
จัดตั้งราชวัตรฉัตรธงและมี
บัวทองรองหีบเหมกุดั่น
ดอกไม้ร้อยห้อยพวงพู่กลิ่นแซม
ฝาผนังตั้งเขียนเรื่องอิเหนา
ม่านขาวปักทองละอองพราย
สี่มุมยกพื้นดูแยบคาย
เป็นระยะที่พระจะสวดเรียน
|
สามชั้นสามยอดสล้างแหลม
แกมกับระย้าแก้วดูแพรวพราย
ที่ซุ้มเสาใส่กระจกกระจ่างฉาย
แล้วก็รายโคมแก้วทั้งแถวเทียม
เอาแผงบังตั้งรายระบายเขียน
เอาเสื่อสาดลาดเลี่ยนละออตา |
เมื่อศพมาสู่ที่ตั้งมีพระนำ
พลายชุมพลนุ่งขาวห่มขาวสวมลอมพอกโปรยข้าวตอกดอกไม้นำหน้ามาด้วย
ญาติทุกคนนุ่งขาวห่มขาว
ในงานศพนางวันทองมีมหรสพต่างๆ
คือโขนละครมอญรำ
หุ่นงิ้วและจำอวด
ตลอดจนเพลงปรบไก่
วงนายแจ้ง
ซึ่งเป็นคนเสภาสำคัญครั้งรัชกาลที่
๒ นั่นเอง
ในงานนี้มีการทิ้งทานคือเอาสตางค์ใส่ลูกมะนาว
สมมุติว่าเป็นลูกกัลปพฤกษ์
ตอนค่ำมีจุดดอกไม้เพลิง
ได้แก่ ไฟพะเนียง พลุ
และอื่นๆ แล้วมีหนังแขก
ตั้งศพครบ ๓ วัน
มีบังสุกุลแล้วจึงเผา
ตอนเผานี้พระไวยเสกคาถาเอาน้ำมันงาเดือดทาตัว
แล้วไปนอนรอรับศพแม่บนเชิงตะกอนก่อน
พวกญาติจุดไฟแล้วพระไวยจึงลุกออกมาจากเชิงตะกอน
ตรงนี้แปลกจึงขอยกกลอนตอนนี้มาให้ดู
ครั้นทาทั่วผ้าผ่อนและเกษา
ขึ้นนอนบนเชิงตะกอนนั้น
พวกพ้องพี่น้องมาช่วยเผา
ธูปเทียนดอกไม้จุดไฟวับ
ไฟลุกรุ่งโรจน์โชติช่วง
จุดประทัดโผงผางวางชนวน
บ้างว่าพระไวยนอนไฟเผา
ที่บางคนนั้นก็ว่าไม่เป็นไร
โลงโกงฟืนฟ่อยก็ย่อยยับ
ฝูงชนยืนอยู่เป็นวง |
|
พระไวยลุกออกมาขมีขมัน
จึงให้ยกศพหันขึ้นวางทัพ
จึงเอาท่อนจันทน์ฟันประดับ
ขุนแผนกับพี่น้องร้องไห้ครวญ
ปี่กลองทั้งปวงประโคมถ้วน
พวกผู้หญิงวิ่งสวนออกวุ่นไป
จะตายด้วยแม่เปล่าก็เป็นได้
ประเดี๋ยวไฟก็ลุกโทรมลง
พระไวยกลับออกมาน่าพิศวง
ชมว่าอยู่คงทั้งฟืนไฟ |
หลังจากนั้นพระไวยจึงไปแต่งตัวไปบวชเป็นเณรในโบสถ์
ขุนช้างก็บวชอยู่ที่วัดตะไกรสามวันจึงสึกกลับไปเมืองสุพรรณฯ
ส่วนพระไวยบวชอยู่เจ็ดวันจึงสึกเข้ารับราชการตามปกติ
|