เบญจเพส

      
        ปัญญาไทยเห็นได้ชัดในเรื่องเบญจเพส
       
คนไทยเราแต่ไหนแต่ไรมามีปัญญาพิจารณาเรื่องอายของคน  ท่านถือว่าคนเราเมื่อถึงอายุ ๒๕ ปี ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะตอนนี้เองที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่ออาจเจริญหรือเสื่อมก็ได้  ท่านมีคำสำหรับวัยอายุถึง ๒๕ ปีว่าวัยเบญจเพส
          คำว่า เบญจเพส  ตรงกับภาษาบาลีว่า ปญจวีส ปญจ คือ เบญจะ วีส แผลงเป็นเพส เมื่อมาใช้ในภาษาไทยนิยมเขียน เบญจเพส
      
ความเชื่อเรื่องเบญจเพสนี้มีพยานหลักฐานอ้างได้ทั้งทางวรรณคดีและทางประวัติศาสตร์  แสดงว่าในชีวิตคนไทยเราถือว่าเรื่องเบญจพเพสเป็นเรื่องต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
         จำได้ว่า คุณฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ นักโบราณคดีผู้หนึ่งได้เคยอภิปรายว่า  สมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้นเมื่อบรรลุพระชนมายุ ๒๕ พรรษาได้ทรงประกอบพระราชกิจอันสำคัญคือ ทรงตามพระยาจีนจันตุราชศัตรู
         สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเมื่องคราวเบญจเพส ทรงระมัดระวังเป็นพิเศษถึงกับโปรดให้แต่งเรื่องเพื่อเล่นในหนังใหญ่ฉลองเมื่อมีพระชนม์ในเกณฑ์เบญจพเพสนั่นเอง  และเสด็จขึ้นเสวยราชเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีวอก พ.ศ. ๒๑๙๙
        ว่าถึงในทางวรรณคดีที่เป็นหลักฐาน พลายแก้วก็เคยได้รับคำทำนายว่า  เมื่อวัยเบญจเพสจะได้รับความลำบากยากเข็ญ สมภารวัดแคทายเณรแก้วไว้ว่า " เมื่ออายุยี่สิบห้าเบญจเพสจะมีเหตุด้วยเคราะห์เข้ามาถึง  ต้องจำโซ่ตรวนเขาตราตรึง  อายุถึงสี่สิบถึงจะได้ดี" เรื่องก็เป็นจริง
        ทุกวันนี้เรากำลังประสบปัญหาวัยรุ่นกันอยู่ ถ้าพิจารณาดูให้ดี วัยรุ่นก็อยู่ใกล้เคียงกับเพญจเพสนั่นเอง  ในปัจจุบันจะนับวัยรุ่นถึงอายุเท่าใดไม่ทราบแน่ แต่สมัยโบราณท่านแบ่งว่า ปฐมวัยอยู่ระหว่าง ๒๕ ปี
        วัย ๒๕ ปีนี้ คติข้างพราหมณ์ซอยออกไปว่า  ๑-๘ เป็นวัยกุมาร แปลว่าวัยเดิน ๙-๑๖ ว่าเป็นวัยทารกวัย แปลว่าวัยรุ่น และวัย ๑๖-๒๕ ว่าเป็นวัยมาณพ คือวัยหนุ่ม ว่าที่จริงสมัยนี้คนอายุ ๒๕  ดูยังไม่เป็นผู้ใหญ่นัก ฉะนั้นน่าจะอนุโลมเปรียบเทียบได้ว่าวัยเบญจเพสสมัยโบราณก็คือวัยรุ่นตามความเข้าใจในปัจจุบันนี่เอง
        คนวัยเบญจเพสย่อมมีอารณ์ร้อน วู่วาม ขาดความยั้งคิด ถ้าทำอะไรทางดีก็เด่นไปเลย แต่งตรงกันข้ามหากวู่วามไปในทางที่ผิดก็หมายความว่าชีวิตจะไม่ราบรื่น เมื่อไม่ราบรื่นเสียแต่วัย ๒๕ ปี อันเป็นปฐมวัยแล้ว ก็เป็นที่หวังได้ยากว่าจะกลับตัวได้ในมัชฌิมวัยและปัจฉิมวัย
       อายันโฆษะ เขียนเรื่องเบญจพเพสไว้ในหนังสือ ดาบศักดิ์เหล็กน้ำพี้   ตอนหนึ่งมีความน่าศึกษาอยู่ไม่น้อย
     
" เมื่อข้าพเจ้ายังเล็กๆ อยู่เคยได้ยินเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าถ้าผู้ใดเกิดมาเป็นเพศชายอันมีรูปสมบัติตกแต่งมาสู่มนุษยโลกแล้ว ย่อมจะต้องผ่านโชคและเคราะห์ซึ่งเป็นส่วนดีกับส่วนร้ายอย่างแรงกล้า  ในเมื่ออายุครบ ๒๕ ปีบริบูรณ์นั้นครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นภาษาของคัมภีร์พฤฒิศาสตร์เรียกว่า "ต้องเบญจเพส" ดังได้ชี้แจงของเพส ๕ ไว้ดังนี้คือ
       ๑  เทวะ   ๒  มนุษย์   ๓  เดรัจฉาน   ๔  เปรต   ๕  อสุรกาย  ผี  ใครชะตาตกโชคเทวะ ท่านว่าผู้นั้นจักได้อิตถมนูญผล มีลาภและยศเป็นอำนาจวาสนา มีโชคมนุษย์ ท่านว่าดีชั่วปานกลางแล  ถ้าเคราะห์ตกเดียระฉานทำนายว่า  ผู้นั้นจะเสื่อมศรีอัปภาคย์ ต้องราชภัยไข้ป่วยถึงจองจำลำบาก หากว่าตกเคราะห์เปรต อายุจักถึงฆาตชะตาสูญ  มีกายอันวิกลวิการแตกดับด้วยคมอาวุธมีหอก ดาบ เป็นต้น  มาตรว่าตกเคราะห์อสุรกาย มีกายอันแกล้วกล้าปราศจากทวารทั้งหกกายสำแดงได้ด้วยอำนาจกรรมเลี้ยง มีความอดอยากทุพพลภาพต้องเข็ญใจเป็นไพร่ กระฎุมพี ให้เขาช่วงใช้  อนึ่ง อันว่โชค ๒ และเคราห์ ๓ นี่ บุรษผู้ต้องเบญจเพสจะเป็นไปในทางที่ดีและชั่วอย่างใด ท่านให้ทายลักษณะที่เป็นผลพิบัติและภัยพิการแก่เขาผู้นั้นเทอญดังนี้  จะเท็จจริงฉันใดก็ตามแต่ ผู้กล่าวจะนิทัศน์อุทาหรณ์ไว้เถิด"
       เรื่องนี่จะเป็นอย่างไรก็ตามทีในฐานะที่เรื่องเบญจเพสเป็นเรื่องของบรรพบุรุษของเรา เราต้องนับว่าท่านมีปัญญาวิเศษที่คอยกระตุ้นเตือนมิให้คนต้องเบญจเพสเป็นภัย  เพราะท่านเตือนให้คนไม่ประมาทซึ่งก็ตรงตามคติพระพุทธศาสนานั่นเอง
       คนวัยเบญจเพสหากเชื่อท่านไว้บ้างก็ย่อมไม่ทำอะไรผลีผลาม  ก็ย่อมปลอดภัยหรือผ่อนหนักเป็นเบาไปได้เหมือนกัน