กฤษณา

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aquilaria crassna    Pierre  ex  H. Lecomte
วงศ์ :  THYMELAEACEAE
ชื่อสามัญ :  Eagle wood
ชื่ออื่น ไม้หอม (ภาคตะวันออก)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-20 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง ใบ เป็นใบเดี่ยว เกิดเรียงกันแบบสลับ ลักษณะใบเป็นรูปไข่หรือรูปร่างยาวขอบขนาน ขนาดกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายใบและโคนใบแหลม ผิวใบแก่เกลี้ยงเป็นมัน ส่วนใบอ่อนที่ผลิใหม่มีขนสั้นวาว ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ เกิดที่ยอดหรือที่ง่ามใบ ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่โคน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ด้านในของกลีบเลี้ยงปกคลุมด้วยขนสั้น กลีบดอกลดรูปลงเกิดเป็นเกล็ดขนาดเล็ก เกสรผู้ 10 อัน ก้านเกสรผู้สั้น ส่วนรังไข่อยู่เหนือส่วนอื่นๆ ของดอก ไม่มีก้านหรือมีแต่สั้น ปลายยอดเกสรตัวเมียใหญ่ ดอกออกประมาณเดือน กุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม ผลรูปทรงเกือบกลม เมื่อแก่จะแตกครึ่งตามรอยคอดของผล ด้านในผลมีส่วนแข็งคล้ายไม้ฉาบอยู่ และมีเมล็ดที่มีหางยาวแหลม 1-2 เมล็ด  ส่วนที่มีกลิ่นหอมคือส่วนของเนื้อไม้ที่มีสีน้ำตาลดำ เนื่องจากเกิดการสะสมของสารหอมระเหย
          พบในเขตร้อนชื้นระดับความสูง 200-700 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในประเทศไทยพบตั้งแต่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
ประโยชน์
:  ใช้จากต้นที่เกิดแก่นกฤษณาแล้ว โดยนำเนื้อไม้ไปใช้เผาเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมในพิธีทางศาสนา ส่วนน้ำมันกฤษณาใช้ผสมกับหัวน้ำหอมชนิดอื่นเพื่อให้กลิ่นหอมติดทนนาน นอกจากนี้ยังใช้เป็นยาแก้ปวด แก้อัมพาตและเป็นตัวยารักษาโรคมาเลเรีย
          *** ชาวอาหรับและชาวปาร์ซี (Parsee) นิยมนำไม้หอมมาเผาไฟเพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม ในยุโรปนิยมนำมาปรุงเป็นน้ำหอมชนิดคุณภาพดี ผงไม้หอมใช้โรยบนเสื้อผ้าหรือบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา ยาพื้นบ้านของอินเดียและอีกหลายประเทศในทวีปเอเชียใช้เป็นส่วนผสมในยาหอม ยาบำรุง ยากระตุ้นหัวใจ และยาขับลม ในแหลมมลายูใช้ไม้หอมเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและใช้บำบัดโรคผิวหนังหลายชนิด สิ่งสกัดด้วยแอลกอฮอล์ของเปลือกต้นจากประเทศไทยมีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง เปลือกต้นให้เส้นใยใช้ทำเชือก ถุง ย่าม และกระดาษ