กลับไปหน้าก่อน  

อ่านหน้าต่อไปสิคะ 

การปฏิบัติตนเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ (ต่อ)

  • รักษามูลค่าส่วนเกินของชีวิตไว้   หลายคนบอว่าคนเราอายุ 50 ปี ก็หมดแล้ว บางคนก็บอกว่าอายุ 60 ปีก็หมดแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นกำไรของชีวิต  แต่การที่คนสูงอายุหรืออายุเกิน 60 ปีแล้วไม่ยอมทำอะไร หรือนั่งเฉยๆ ก็เปรียบเสมือนผู้นั้นไม่รู้จักการรักษามูลค่าส่วนเกินของชีวิตตน คงปล่อยให้ส่วนเกินของชีวิตที่มีค่ายิ่งต้องสูญเสียไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
              คนที่เข้าสู่วัยสูงอายุแล้วจึงควรจะรู้จักรักษามูลค่าส่วนเกินของชีวิต และใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งต่อตนเอง และต่อผู้อื่น ตลอดจนสังคมที่อยู่รอบๆ ตัวเราด้วย

  • ทำชีวิตให้เป็นแก่นสาร  วัยสูงอายุยังสามารถทำอะไรหลายๆอย่างที่เป็นแก่นสารกับชีวิตของตนเองได้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่หลายๆ คนกลับไม่ยอมทำ กลับไม่ยอมคิด แต่กลับนั่งรอความตายที่กลังคืบคลานเข้ามาหาตัวเองอย่างรวดเร็ว ยิ่งนั่งรอความตายก็ยิ่งคืบคลานเข้ามาเร็วขึ้น และที่สุดก็เสียชีวิตโดยมิได้เป็นแก่นสาร
              คนที่ผ่านวัยหนุ่มวัยสามีประสบการณ์หลายอย่างที่คนหนุ่มคนสาวไม่มี เคยแก้ปัญหาต่างๆ สำเร็จมามากมาย เคยรู้จุดบกพร่อง จุดดีจุดเด่นหลายๆ อย่าง สามารถที่จะนำความรู้ ประสบการณ์นั้นมาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างดี โดยเฉพาะสามารถที่จะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาทำให้ชีวิตในวัยสูงอายุมีแก่นสารมากขึ้น ไม่สมควรเลยที่จะปล่อยให้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
              งานที่จะทำด้วยตัวเองตามลำพัง หรืออาจจะร่วมทำกับผู้อื่นก็ได้  ทั้งนี้สุดแล้วแต่จะชอบหรือสุดแล้วแต่จะต้องการ

  • ยึดความสุขให้มั่น  หลายคนบอกว่าเราจะเป็นอะไรก็ได้อยู่ที่ใจของเราว่าต้องการอะไร  ถ้าเราต้องการความสุขในบั้นปลายชีวิตของเรา ๆ ก็ต้องคิดถึงแต่ความสุข  และพยายามทำตัวให้มีความสุขหรืออาจจะกล่าวได้อีกทีว่าเราต้องยึดมั่นความสุขในวัยสูงอายุ แล้วเราก็จะมีความสุขอย่างที่เราต้องการ
              อย่างที่หลายๆ คนบอกว่า "เมื่อเรายิ้มกับโลก โลกก็ยิ้มกับเรา "  ดังนั้นถ้าเราอยากมีความสุข เราก็ต้องทำตัวให้มีความสุข โลกทั้งโลกก็จะเป็นสุขกับเรา ไม่ว่าเราจะคิดอะไรก็คิดถึงแต่ความสุข ไม่ว่าเรามองอะไรก็มองแต่ความสุข ไม่ว่าเราทำอะไรก็ทำแต่ความสุข ทุกสิ่งที่จะเป็นความสุขในวัยสูงอายุของเรา

  • อย่าตีวงล้อมกรอบตัวเอง  คนที่ย่างเข้วัยสูงอายุแล้วมักตีวงล้อมกรอบตัวเองว่าตัวเองแก่แล้ว จึงไม่ยอมคิด ไม่ยอมทำอะไร รวมทั้งไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับสังคม แยกตัวเองอยู่ในโลกต่างหาก จึงทำให้รู้สึกเหงาหงอยสร้อยเศร้าตลอดเวลา และคิดว่าทุกคนในโลกนี้ลืมตัวเองแล้ว
              ความจริงแล้วคนเราอาจจะแก่อายุ แต่ความคิดความอ่านมิได้แก่ไปด้วย ยังสามารถคิดทำอะไรต่างๆได้หากต้องากรจะทำ และก็มีงานหลายๆ อย่างที่เหมาะสมกับคนมีอายุแล้ว เช่นการแนะนำปรึกษางานที่ตนเคยทำมาในอดีต งานเขียนหนังสือ โดยใช้ประสบการณ์ของตนเป็นปัจจัยของการเขียน และงานอื่นๆ
              ด้วยเหตุนี้คนแก่จึงไม่ควรตีวงล้อมกรอบตัวเองให้เป็นคนแก่ที่นั่งรอคอยความตาย แต่ควรเป็นคนแก่ที่มีชีวิตชีวา มีความกระปรี้กระเปร่า มีความสามารถที่จะทำงานต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อตน ต่อครอบครัว ต่อคนอื่นและต่อสังคมได้

  • ปลดแต่ไม่เกษียณ  คนเราเมื่ออายุล่วงเข้า 60 ปีแล้วก็จะถูกปลดเกษียณในบ้านเรา นั่นก็คือถูกปลดจากงานหรือถูกเลิกจ้าง แล้วเจ้าตัวก็มักจะเกษียณตัวเองโดยหยุดทำงานไปด้วย แต่ก็มีคนที่ถูกปลดเกษียณแล้วไม่ยอมรับสภาพดังกล่าวร้อยเปอร์เซ็นต์ กล่าวคือยอมให้ปลด แต่ไม่ยอมเกษียณ คือยังคงทำงานต่อไป โดยหางานอื่นที่ยังพอทำได้มาทำต่อ ซึ่งบางครั้งหากหางานได้เหมาะๆ ก็อาจจะได้เงินเดือนสูงกว่าสมัยที่ยังทำงานเสียอีก  แต่ความจริงเงินอาจจะไม่สำคัญเท่ากับได้ทำงาน
              แพทย์ได้พบว่าคนที่ปลดเกษียณแล้วยังทำงานต่อไป จะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนที่ปลดเกษียณแล้วอยู่บ้านเฉยๆ เพราะคนที่ยังทำงานจิตใจจะเบิกบานแจ่มใส  และมีชีวิตชีวาว่าตนเองยังทำงานได้  ตนเองยังไม่แก่ จึงมีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตได้อีกนาน

  • ปล่อยตัวตามธรรมชาติ  คนที่มีอายุแล้วควรรู้จักหัดปล่อยชีวิตของตนเองให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น จะเป็นการดีที่สุด อย่าได้คิดทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ เพราะจะทำอย่างไรก็ฝืนธรรมชาติไม่ได้
              คนที่มีอายุบางคนไม่ยอมแก่  พยายามทำศัลยกรรมตบแต่งตัวเองให้เป็นหนุ่มเป็นสาวให้ได้  แต่ริ้วรอยความแก่ก็ยังปรากฎให้เห็น แทนที่จะเป็นการสวยงามกลายเป็นสิ่งที่น่าสมเพชแก่คนที่พบเห็นก็มี  บางคนพยายามหายาต่างๆ ทานเพื่อทำให้อายุยืนเพราะยังไม่อยากตาย  ยังอยากอยู่ในโลกต่อไป แต่ทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น และดูเหมือนยิ่งหนีความตายมากเท่าไร ความตายก็ย่างเข้ามาใกล้มากเท่านั้น
              ด้วยเหตุนี้คนที่มีอายุแล้ว จึงควรปล่อยใจตามธรรมชาติ ไม่ควรดิ้นรนหาความทุกข์มาใส่ตัวอีก  และควรจะใช้เวลาที่เหลือให้เป็นเวลาแห่งความสุขของตนจะดีกว่า

  • อย่ายึดถืออะไรจริงจังเกินไป   ตลอดชีวิตเราได้ทำงาน และต่อสู้ทุกสิ่งทุกอย่างมา จนถึงวัยสูงอายุก็นับว่าได้ต่อสู้มาเป็นอย่างมากแล้ว บางครั้งก็พบกับความสำเร็จ บางครั้งก็พบกับความล้มเหลวคละปนกันไป มีทั้งความสมหวังและผิดหวัง
              ด้วยเหตุนี้ในบั้นปลายของชีวิตเราจึงควรปล่อยกายปล่อยใจเสียบ้าง อย่างยึดถืออะไรเป็นจริงเป็นจังเกินไป หัดปลง หัดทำใจหรือหัดวางเฉยเสียบ้าง ในส่งต่างๆ ที่จะเกิดกับตัวเรา อย่าคิดหรือยึดอะไรเป็นเรื่องจริงจังเกินไป เพราะหากเราถืออะไรเป็นเรื่องจริงจังเกินไปในบั้นปลายชีวิตแล้ว อาจทำให้เราต้องเสียใจหรือช้ำใจมากยิ่งกว่าสมัยที่เรายังหนุ่มยังสาวมากนัก เพราะสมัยนั้นเรามีพลังเหลือเฟือที่จะทำทุกสิ่งให้จริงจังได้  แต่พลังดังกล่าวมันได้หมดลงแล้ว หรือเหลือน้อยเต็มทีที่จะมาทำอย่างเก่าได้

  • อย่าหวังความช่วยเหลือจากคนอื่น  คำที่ว่า " ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน "  นับว่าเป็นคำที่คนเข้าวัยสูงอายุแล้วควรจะยึดมั่นและถือปฏิบัติเป็นอย่างยิ่งในวัยที่หมดอำนาจวาสนา  ไม่มีใครที่เขาจะคอยดูแลเราหรือให้ความช่วยเหลือเรา ถ้าหากใครยังมีอยู่ก็นับว่าคนนั้นเป็นผู้มีบุญเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยเหตุนี้เราจึงควรคิดพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด และไม่ควรหวังจะได้รับความช่วยเหลือจากใครหากไม่จำเป็นจริงๆ แล้วก็ไม่ควรจะขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะถ้าหากเขาช่วยก็ดีไป หากเขาไม่ช่วยก็อาจจะต้องเสียใจหรือช้ำใจก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้คิดทวงบุญคุณกับใครเป็นอันขาด ดีไม่ดีเขาอาจจะพูดว่า "ก็คุณมันโง่เอง" จะช้ำใจตายเสียเปล่าๆ

 

กลับไปหน้าก่อน  

อ่านหน้าต่อไปสิคะ