ป๋อง ที่รัก

    ย้อนกลับ

HOME     


     ค่ำวันนั้น หนูน้อยออกไปเดินเล่นรอบๆ บ้าน เป็นการออกกำลังกายย่อยอาหาร... คิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียว... โลกนี้มีแต่ปัญหาน้อ... โรงเรียนเป็นแหล่งสร้างปัญหา และครูน่ะเป็นบุคคลที่มีปัญหามากที่สุดเลย  ครูให้เราตอบปัญหา  แก้ปัญหา  จำแนกปัญหาชนิดต่างๆ แก้ปัญหาคณิตศาสตร์  เอาคณิตศาสตร์แก้ปัญหาสังคม  เอาสังคมแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ... (เอ๊ะไม่มีแฮะ)  หนูน้อยละเบื่อที่ซู๊ด  เผลอๆ จะถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กมีปัญหาไปอีกคน...
      "เพล้ง" ... ว้าก... หนูน้อยสะดุดเอาโลหะอะไรบางอย่าง แล้วเลยลื่นพลาดหกคะเมนลงในแอ่งน้ำโคลนแฉะๆ ที่ขังอยู่เมื่อฝนซาฟ้าใส
      อะไรน่ะ... อยากรู้เต็มแก่... ก้มดู... เออดี....กาป๋อง เอ๊ยกระป๋อง... เอิงเงย... เรายิ่งอยากได้กระป๋องเอาไปปลูกต้นไม้อยู่แล้ว  หนูน้อยไปนึกถึงโคลงบทหนึ่งว่า

 

     ทำสวนครัวทั่วถ้วน
ขาดที่มีกระถาง
ปีบถังตุ่มลังราง
กระบะกระชุกรุใช้

ทิศทาง  เถิดไทย
ปลูกได้
อ่างโอ่ง  ไหเอย
ปลูกสร้างสวนครัว
*

        กระป๋องก็อยู่ในข่ายนี้ด้วย  รอบบ้านเรายังไม่มีการพัฒนาสวนครัว  แต่การเริ่มต้นจะเกิดจากความซุ่มซ่ามครั้งนี้แหละ หนูน้อยรีบเอาเมล็ดพริกที่แช่น้ำ เลือกเอาเม็ดฝ่อๆ ที่ลอยน้ำทิ้งไป  เอาเม็ดดีๆ มาเพาะใส่กระป๋อง  โดยกะว่าพอต้นพริกโตซักนิด คงจะต้องเอาลงดินตรงที่รกๆ ติดรั้วบ้าน ตรงที่มีอุตพิตขึ้นเป็นดง... ง่วงแล้วนอนดีกว่า...
        "ก๊อกๆ ยังก่อน อย่าเพิ่งหลับซี"  เสียงเรียกแว่วๆ แล้วมีอะไรตกปุ๊  (แบบ
Skylab แต่เบากว่าแยะ) ลงมาบนที่นอน เฉียดจมูกหนูน้อยไปแค่คืบครึ่ง
        "ใครน่ะ"
        "ป๋องนะซี  เอะอะไปได้ นี่ป๋องหนีเขามานะ เดี๋ยวเขาได้ยินเข้าจะตามมา"
        "ทำไม
?... นี่หนูน้อยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าป๋องเป็นป๋องทำไมต้องหนีอะไรด้วย..."
        "นี่ไม่รู้จริงๆ หรือจ๊ะ ว่าจะทำอะไรมันต้องมีอุปสรรคและมีปัญหาที่เราจะต้องแก้ไขให้ได้เสียก่อนเสมอแหละ..." 
ป๋องกระโดดขึ้นไปนั่งบนบ่าของหนูน้อย แล้วรู้สึกว่านั่งไม่สบาย เลยกระโดดลงมานั่งที่ตัก  แล้วอธิบายต่อด้วยเสียงอันชัดเจนเป็นจังหวะจะโคน
        "หนูน้อยปลูกพริก แต่ไม่รู้ปัญหา และไม่เตรียมการอะไรเลย นี่พวกมดและแมลงต่างๆ มันแห่กันเข้ามาจะกินเม็ดพริก ป๋องต้องหนีเขามานี่แหละ"
        "เออจริงนะ เดี๋ยวหนูน้อยจะเอาเอส ๘๕ ผสมน้ำรด แมลงจะได้ตายหมด"  หนูน้อยพยายามหาทางแก้
        "ไม่ได้ๆ เวลารดน้ำมากๆ เม็ดพริกจะเน่า อยู่ในกระป๋องอย่างนี้ไม่มีทางระบายน้ำ นอกจากเจาะป๋องให้มีทางระบายน้ำ ข้อสำคัญป๋องก็ไม่อยากถูกเจาะเสียด้วย ..." ตอนสุดท้ายเสียงอธิบายเป็นงานเป็นการมาก จนหนูน้อยไม่รู้จะต่อว่าอย่างไร
        "ถ้าหนูน้อยจะให้ป๋องช่วยในการปลูกต้นไม้ ก็รดน้ำทีละน้อย อย่าให้น้ำขังได้ พอพริกขี้หนูดีแล้ว ให้รีบลงดิน..." 
ป๋องอธิบายต่อด้วยเสียงอันดัง "...แต่ นี่แสดงว่าหนู่น้อยไม่เคยคิดถึงปัญหาล่วงหน้าแลยใช่ไหม"
        "หนูน้อยก็คิดเหมือนกันจ้ะ...ที่ปลูกในป๋องก็เพื่อจะได้โยกย้ายไปในที่ต่างๆ ได้ยังไงจ๊ะ  เวลาหนูน้อยไปโรงเรียนจะได้หอบไปฝากให้ป้าหง่าดูแลได้"
          ก่อนที่ป๋องจะว่าอะไรต่อไปหนูน้อยก็ล้มตัวนอน
          "ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะป๋อง  หนูน้อยง่วงจังวันนี้  พรุ่งนี้หรือวันหลังค่อยคุยกันต่อก็แล้วกัน..."
        เช้าอีกวัน... หนูน้อยรดน้ำพริก (รดน้อยๆ อย่างป๋องว่า) ใส่ยาฆ่าแมลง ไปบ้านป้าหง่า อธิบายการรดน้ำให้ป้าหง่า (ป้าหง่าชอบเรื่องต้นไม้อยู่แล้ว) ... ชวนหนิงหลานป้าหง่ากังอึ่งหลานป้าไลไปโรงเรียน...
          นี่เป็นกิจวัตรประจำวัน...จนถึงวันที่เอาต้นพริกลงดิน หนูน้อยล้างกระป๋องหรือป๋องเพื่อนเก่า ตอนแรกคิดจะเอาไปทำซอ เอ... มันต้องเจาะรูนี่ เอาไปทำอย่างนั้นกับเพื่อนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้อย่างไร...
        ...เอางี้ดีกว่า  ทำเป็นกระป๋องใส่ดินสอ...ป๋องเค้าคงชอบนะ หนูน้อยจัดการเอากระดาษสีสวยๆ มาติดป๋อง  ทำอย่างสุดฝีมือ แล้วตั้งไว้บนลังสบู่ ซึ่งใช้เป็นโต๊ะเขียนหนังสือส่วนตัว  ทำให้ทั้งสองได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น
        ตั้งแต่หนูน้อยคบกับป๋องหรือป๋องคบกับหนูน้อยนั้น  ทั้งคู่เปลี่ยนนิสัยไปเยอะ จะว่าดีก็ดีแย่ก็แย่ กล่าวคือ  ป๋องได้ทำงานให้เป็นประโยชน์แก่หนูน้อย คือเป็นกระถางต้นไม้ เป็นกระป๋องใส่ดินสอ ว่างๆ ก็นั่งคุยกัน  ป๋องยังอธิบายการบ้านเลขให้หนูน้อยบ่อยๆ  ป๋องเองมีความสุขมากเพราะได้เพื่อน ดีกว่าถูกทิ้งในแอ่งโคลนจนจะเป็นสนิมอยู่แล้ว  ที่แย่คือ นิสัยของทั้งสองเปลี่ยนไป  แต่ก่อนป๋องเคยเป็นคน เอ๊ยเป็นป๋องที่เยือกเย็นสุขุม เดี๋ยวนี้โวยเก่ง ขี้บ่นและพูดมาก  ส่วนหนูน้อยกลายเป็นคนชอบเถียง คิดมากและพูดมากด้วย เถียงกับป๋องบ่อยเกินไปกระมัง เลยเผลอไปเถียง พ่อ แม่ ครู พวกพี่ๆ น้องๆ ว่าหนูน้อยบ้า เพราะต่างเคยเห็นพูดคนเดียว สองต่อสอง (๑ คน ต่อ ๑ ใบ) ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นเด็กมีปัญหาไปแล้ว
        วันหนึ่งขณะที่หนูน้อยกับป๋องกำลังเถียงกันเรื่อง ทำอย่างไรจะประหยัดค่ากับข้าวได้ดีที่สุด หนูน้อยก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเฉยๆ
        "เอ๊ะ ป๋องเป็นป๋อง ทำไมพูดได้ละ" (เพิ่งนึกออก)
         "ก็ป๋องเป็นป๋องวิเศษ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องโกหกด้วย แต่ป๋องจะพยายามเล่าเรื่องอะไรทีเป็นความจริง เท่าที่เรื่องโกหกจะอำนวย..."
        "แล้วแต่ป๋องซี่จ๊ะ"
        "ป๋องจะเล่าประวัติตัวเองนะจ๊ะ มันเป็นปัญหาชีวิต" พูดพลาง ป๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม
        "เอ่อ... ชีวิตป๋อง... ก็เริ่มด้วยถลุงโลหะ แล้วผสมอะไรในโรงงานนะซิ อื้อ เรื่องผลิตเรื่องเคมีฟังไม่รู้เรื่องหรอกจ้ะ"
        แม้หนูน้อยท้วง ป๋องจะพูดซะอย่างก็พูดต่อ
        "ป๋องจะเล่าละ เราเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมใหญ่ มีหน้าที่แค่เก็บผลผลิตของบริษัท ไม่มีสิทธิ์รู้เห็นเรื่องระบบใหญ่ของการผลิต ตลาดการค้า หรือเรื่องคุณภาพของสินค้า..."
        "ว้าเล่าอะไรก็ไม่รู้
! กิจการใหญ่ๆ เขาว่าต้องมีการแยกหน้าที่กันซิจ๊ะ ไม่มีใครทำอะไรได้คนเดียวหรอก หนูน้อยว่าเราควรจะทำส่วนของเราให้ดีที่สุด ภูมิใจในสิ่งนั้น แม้ว่าเราและคนอื่นจะคิดว่ามันต่ำต้อย เป็นป๋องก็ต้องดูแลสินค้าให้อยู่ในสภาพดี"  หนูน้อยขัดคอจนป๋องชักไม่พอใจว่าเดี๋ยวนี้หนูน้อยไม่เป็นแต่ผู้ฟังแล้ว แต่ยังพยายามอธิบายต่อ
        "ป๋องคิดอีกแง่หนึ่ง ถูกหรือที่เราจะเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับผู้อื่น ผู้มีอำนาจที่เป็นคนหมู่น้อยตลอดเวลา บทบาทของเราในสังคมควรเปลี่ยนแปลงได้
        ป๋องเคยอยู่ที่บ้านคนใช้สินค้า รู้ว่าเขาต้องการอย่างไร ได้ยินคำวิจารณ์ แล้วก็มีสมองพอจะเห็นความสัมพันธ์ของปัญหาการบริโภค ปัญหาการผลิต และปัญหาต่างๆในโลกได้"  (ว้า
! ป๋องนี่ชักประสาท พูดยาวจัง)
        "นี่ ป๋อง เอางี้ดีกว่า ถ้าป๋องลุกขึ้นเอ็ดตะโรแถลงปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง กลางบ้านคน ใครเขาจะฟัง เขาจะวิ่งหนี นึกว่าเป็นป๋องผีสิง แล้วมีหมอผีมาทำพิธี..."
        ยังไม่ทันเล่าวิธีไล่ผีเลย ป๋องก็สวนขึ้นอย่างพาลๆ แต่เสียงกลับเรียบ จนน่าประหลาดใจ
        "เดี๋ยวนี้หนูน้อยอาจไม่ต้องการป๋องแล้วใช่ไหมล่ะ เห็นมีพี่กลับจากเมืองนอก ซื้อกล่องดินสออย่างดีมาฝาก เขาอธิบายเลขเก่ง คงดีกว่าป๋อง"
        หนูน้อยชักเบื่อแต่ไม่อยากเสียเพื่อน เลยพยายามอธิบาย
        "หนูน้อยไม่ได้คบป๋องเพราะเห็นประหลาดว่าเป็นป๋องพูดได้ ป๋องช่วยหนูน้อยมามาก ให้ความรู้ เป็นกระถางต้นไม้ กระป๋องใส่ดินสอ... แต่ป๋องไม่เคยรู้สึกเลยหรือจ๊ะว่า ความเป็นเพื่อนน่ะสำคัญกว่าประโยชน์  เราเป็นเพื่อนกันแล้ว หนูน้อยก็รักป๋องและไม่เคยสนใจว่าจะเอาประโยชน์อะไรจากป๋อง ไม่ว่าป๋องจะโตไปสำหรับทำซอ เล็กไปสำหรับทำอ่างซักผ้า เป็นกระป๋องใส่อะไรมาก่อน คิดแต่ว่าป๋องเป็นเพื่อนที่ดีและเมตตาหนูน้อยมาตลอด ขอให้ป๋องพยายามเข้าใจหนูน้อยในแง่ดีบ้างเถอะจ้ะ ป๋องที่รัก..."
        จบเอาดื้อๆ อย่างนี้เอง ป๋องจะว่าอะไรต่อโกหกไม่ออกเสียแล้ว
ป.ล. ทราบว่าตอนนี้ ป๋องเลยเลิกพูดมาก เลิกขี้บ่น ทำประโยชน์มากขึ้น โดยใช้เป็นแกนพันด้ายให้หนูน้อยเล่นว่าวด้วยจ้ะ
        
      * โคลงสี่สุภาพ พระนิพนธ์ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์