กลับหน้าหลัก

Home

หน้า  1   2   3   4 

2

         แม่ไม่ชอบการอยู่บ้าน  พอเสร็จธุรทางบ้านก็ต้องมีกิจกรรมนอกบ้าน  บังเอิญแม่ได้ลูกสะใภ้ลักษณะใกล้เคียงกับนิสัยแม่ ก็เลยชวนกันออกไปมีกิจกรรมนอกบ้าน  แม่อุตส่าห์ไปสมัครเป็นลูกเสือชาวบ้าน จนได้รับเลือกเป็นประธานรุ่น ๒ กทม.๓๒ วัดปทุมคงคา เช่นเดียวกับเมื่อตอนมีอาชีพเป็นพยาบาล ก็ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนางพยาบาลคนที่ ๒ ต่อจาก ม.จ.หญิงมัณฑารพ กมลาสน์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๒ ถึง ๒๔๘๘

          แม่สนใจในรสพระธรรม  ยังจำได้ว่าแม่ไปศึกษาธรรมกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทร์ และพาลูกๆ สมัยยังเด็กๆ ให้ไปฟังเทศน์ด้วยในวันพระและวันหยุดเรียน  แม่ถูกใจในธรรมของสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุษฐายี) ในข้อที่สอนว่าถ้าใครมาด่า มาว่าเรา  เราไม่รับเพราะเราไม่รู้สึกเจ็บที่ตรงไหนจากคำที่เขามาว่ามาด่าสักหน่อย  เหมือนกับเวลาแขกมาหาเรา เราเลี้ยงน้ำ แขกกลับไปโดยไม่ดื่มน้ำ น้ำก็ยังเป็นของเราอยู่ไม่ได้พร่องสูญหายไป ฉะนั้นการที่ไม่โกรธตอบ เถียงตอบ ทำให้ผู้ที่มาด่า มาว่าเรานั้น เกิดความสุขสบายใจก็ต้องนับว่าเราได้บุญ ในช่วงหลังแม่สนใจในธรรมชั้นสูง ถึงขั้นฝึกและปฏิบัติธรรมกับฟังพระธรรมเทศนาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ที่วัดราชผาติการาม (วัดส้มเกลี้ยง) แม้เจ็บก็ยังอุตส่าห์ไปทุกๆวันพระ และได้จดข้อความธรรมะที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์สอนเก็บไว้เป็นหัวข้อๆ กันลืม

          แม่สนใจเรื่องการเกษตร  แม่เคยถูกบังคับให้ประกวดบ้านไม้หลังเก่า สมัยแม่เป็นครูอยู่โรงเรียนการเรือน  เพราะแม่ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกต้นผลไม้และได้รับรางวัล
          หลังจากที่รัฐบาลออกกฎหมายปฏิรูปที่ดิน  ประกอบกับคุณพ่อถึงแก่อนิจกรรม  เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘  แม่จึงแบ่งที่ดินของพ่อ ซึ่งได้รับมรดกจากคุณปู่ให้แก่ลูกทั้งสามหมด  และก็พยายามสนับสนุนให้จัดทำเป็นสวนขึ้น แม่ได้ไปเที่ยวบ่อยๆ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บ เมื่อเจ็บแล้วก็ยังไปต่อ จะต้องรายงานให้ทราบว่าทำอะไรไปบ้าง แล้วก็ต้องพาไปดู หลายๆครั้งที่ไปพักอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็น  จนกระทั่งคืนสุดท้ายก่อนเข้าโรงพยาบาลก็ยังได้เล่าให้แม่ฟัง และฉายวีดีโอให้ดู แม่ก็ดูไปหลับไปแต่หูฟังตลอดจนจบ  รุ่งขึ้นแม่เข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้ายและก็เป็นฉากสุดท้ายของแม่จริงๆ 

          สัตว์เลี้ยงที่แม่รักมากที่สุดคือ  สุนัข  เพราะแม่เกิดปีจอ ผู้ใดเกิดปีจอก็มักจะได้ความรักจากแม่ไปเผื่อแผ่ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดแม่จะถูกห้อมล้อมด้วยสุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน  แม่ขึ้นนอน สุนัขก็นอนเฝ้าในห้องด้วย แม้วันที่ล้มป่วยเมื่ออายุ ๘๐ ปี สุนัขก็นอนหมอเฝ้าอยู่ข้างๆแม่ แม่จะโกรธมากถ้ามีใครมารังแกสุนัขไม่ว่าสุนัขนั้นจะเป็นของผู้ใด  ขนาดเมื่อเจ็บต้องนั่งรถเข็นจะเห็นแม่ดีใจที่ได้เล่นกับสุนัขที่ผลัดกันเข้ามาเล่นด้วยเสมอ

          ชีวิตในครอบครัว  แม่สอนให้ทุกคนมีเหตุผลสามารถที่จะโต้แย้งกันได้ทุกกรณี  จึงเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนมากกว่าพ่อแม่และลูก  ซึ่งมีวัยแตกต่างกัน  บางคนที่ไม่เข้าใจอาจนึกไปว่าลูกบ้านนี้ไม่เคารพพ่อแม่ก็เป็นได้  ยิ่งระหว่างพี่น้องดูประหนึ่งว่าเราจะทะเลาะกันอยู่เสมอ  แต่เราก็รักกันเพราะมีกันเพียงสามคนเท่านั้น

          แม่เล่าให้ฟังว่า  ไม่มีใครเลยที่จะรู้ใจแม่ดีเท่าพ่อ  จะไปไหนมาซื้อของฝากก็ล้วนแต่ของถูกใจ  วานให้ซื้ออะไรก็ไม่เคยผิดหวัง  เวลาแม่ตามเสด็จฯ ในต่างจังหวัด  พ่อไม่ได้ไปด้วยก็อุตส่าห์เขียนจดหมายไปคุยด้วยแก้เหงาเป็นประจำ  และก็นับว่าแม่เป็นผู้ที่โชคดีและมีบุญที่สุดที่พ่อไม่เคยขัดใจแม่เลย แม่อยากจะอยู่ตึก พ่อชอบบ้านไม้หลังเก่า  เพราะเป็นที่ระลึกในการสร้างตนเองมาด้วยกัน  ในที่สุดแม่ก็สามารถเอาชนะพ่อได้ โดยพ่อยินยอมรื้อบ้านเก่าให้เช่าที่ไปแลกกับการอยู่ตึกสมความปรารถนา  แต่ก็เมื่อแม่มีอายุ ๖๙ ปีแล้ว

          แม่ใจแข็งมาก  เมื่อฝาแฝดยังเด็กๆ เพื่อนๆแม่เล่าให้ฟังว่าถ้าไม่ถึงเวลาให้นม  แม่ก็จะปล่อยให้ร้องแข่งกันทั้งสองคน  "คุณพัวใจแข็งเหลือเกิน"  นอกจากนี้แล้ว แม่ก็ยังสอนให้ลูกศิษย์ของแม่หัดเป็นคนใจแข็งเหมือนแม่ด้วย