ผู้หญิงในชีวิตของผม..แม่

กลับหน้าหลัก  

HOME

หน้า   1   2    3    4    5   6

          
          ลุงผมชื่อปอ ใครๆ เรียกว่าอากรปอ มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนรักษาอากรกิจ  เป็นต้นสกุลอึ๊งภากรณ์  ซึ่งในเอกสารตั้งนามสกุลดูเหมือนจะสะกด "อึ๊งพากร" แล้วอย่างไรไม่ทราบเพี้ยนมาเป็นอย่างปัจจุบัน  ก็เลยตามเลย พวกเราชาวธนาคารชาติและผู้อยู่ในวงราชการคงจะสนใจที่จะทราบว่า ลุงผมเป็นตาของคุณบันชา ล่ำซำ  ตาภรรยาของคุณเกษม จาติกวนิช เป็นตาของ ดร.พนัส สิมะเสถียร เป็นปู่ของคุณชาญชัย อึ๊งภากรณ์ เป็นพ่อตาของคุณทรง บุลสุข (ถ้าจะกล่าวให้ครบลูกหลานของลุง คงจะต้องเขียนอีกเรื่องหนึ่ง และจะต้องสอบถามพี่ๆ อีกมาก

          แม่กับเตี่ยมีลูก ๗ คน คนที่ ๑ ถึง ๔ ( ๔ คือผม) เป็นผู้ชาย ถัดมาเป็นผู้หญิง แล้วฝาแฝดสุดท้ายหญิงกับชาย  เมื่อพี่ชายสองคนโตเติบใหญ่ถึงวัยเล่าเรียน เตี่ยก็จัดส่งให้ไปเรียนที่บ้านเกิดของท่านในประเทศจีน  ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ ไม่รู้ความ ทราบทีหลังว่า ถึงแม่จะมีเชื้อจีน ท่านก็ไม่สู้จะเห็นด้วยกับการส่งลูกไปเรียนเมืองจีน โดยเฉพาะเมื่อพลัดลูกพลัดแม่ ท่านย่อมมีความโทมนัสเศร้าสลดเป็นธรรมดา นัยว่าเตี่ยกับแม่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรกในเรื่องนี้  ต่อมาเมื่อก่ำพี่ชายคนที่ ๓ (ภายหลังใช้ชื่อกำพล) กับผมโตขึ้น อายุสัก ๘ - ๙ ขวบ เตี่ยก็จะส่งไปเมืองจีนอีก คราวนี้แม่ไม่ยอมเด็ดขาด บอกว่าได้ตัดสินใจยอมส่งไปแต่ ๒ คนแรก ๒ คนหลังนี้ต้องให้เป็นเรื่องของแม่ เตี่ยเป็นคนที่ไม่ใคร่พูดไม่ชอบทะเลาะ ก็จำใจยอม ก่ำกับผมได้เรียนภาษาไทยบ้างแล้วที่โรงเรียน "สะพานเตี้ย" ตำบลตลาดน้อย แม่ก็จัดการให้เข้าโรงเรียนอัสสัมชัญ โดยขอให้ท่านมหาสุข ศุภศิริ พาไปฝากเข้าเรียน ท่านมหาสุขเป็นครูภาษาไทยที่โรงเรียนอัสสัมชัญ อยู่บ้านใกล้กับบ้านเรา ในตรอกโรงสูบน้ำตลาดน้อย ผมเรียกท่าว่าคุณลุง
          โรงเรียนอัสสัมชัญขณะนั้น ค่าเล่าเรียนเดือนละเจ็ดบาท ปีหนึ่งเรียนสิบเดือน รวมเป็นเจ็ดสิบบาท ซึ่งแพงที่สุดสำหรับสมัยนั้น  ค่าสมุดหนังสือก็แพงกว่าโรงเรียนอื่นๆ เป็นอันมาก แต่แม่ใจเด็ดตามเคย แพงก็แพง ฉันอยากให้ลูกของฉันได้มีโอกาสดีที่สุดทัดเทียมผู้อื่น ถ้าพูดตามภาษาเศรษฐศาสตร์สมัยนี้ คงจะเรียกว่า เสี่ยงลงทุนหนักๆ เพื่อพัฒนาทรัพยากรกำลังคน


มารดาของอาจารย์ป๋วย

นางเซาะเช็ง อึ๊งภากรณ์ (ประสาทเสรี)

๓. บ้านเมืองจีนกับบ้านเมืองไทย

          อีกข้อหนึ่งที่ทำให้แม่ตัดสินใจลงทุนให้ลูกเรียนแพงๆ คงจะเป็นเพราะเห็นว่าเตี่ยทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ (เคยถูกผู้ร้ายชิงทรัพย์ตีหัวแตกขณะไปเก็บเงินลูกค้า) แล้วก็นำเงินไปเลี้ยงครอบครัวที่เมืองจีนเสียมากต่อมาก ทำไมจะไปเสียดายเงินที่เอาไว้ใช้ในเมืองไทยบ้างสำหรับให้ลูกเรียนหนังสือ  ครั้งหนึ่งเตี่ยกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองจีน กลับมาเอารูปถ่ายที่บ้านเมืองจีนมาอวดใหญ่  เป็นตึก ๗ หลัง หลังกลางสำหรับปู่กับย่าผม ปู่กับย่ามีลูกชาย ๖ คน ฉะนั้นตึกอีก ๖ หลัง สร้างไว้ข้างละ ๓ หลังในบริเวณเดียวกัน สำหรับลุง เตี่ย และอาของผมทุกคน ในบริเวณมีสวนส้มสวนผลไม้อื่นและมีนาพอทำมาหากินได้ทั้งครอบครัวใหญ่ๆ ๖ ครอบครัว เตี่ยมีความภาคภูมิใจมาก เพราะที่ดินและตึกที่มีได้ถึงขนาดนี้เป็นด้วยลุงกับเตี่ยเพียงสองคนมาทำงานในเมืองไทยแล้วอดออมส่งเงินไปซื้อไปสร้างไว้ให้ครอบครัวได้อยู่ ได้ใช้สบาย มีหน้ามีตาในหมู่บ้านตามประเพณีจีน มีชื่อเสียงว่าเป็นคนดีทั้งสองคน  แต่พอเตี่ยเอารูปที่ว่านั้นมาอวดที่บ้าน แม่ก็พื้นเสีย เอะอะกับเตี่ยว่านี่แหละในเมืองไทยต้องเช่าห้องแถวอยู่ราวกับรังหนู จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนฝรั่งก็ต้องทะเลาะกันก่อน เงินที่หาได้กลับส่งไปบำรุงทางเมืองจีนเสียหมด  อาผู้ชายกับครอบครัวนอนกินอยู่เมืองจีนสบายๆ เพราะมีพี่สองคนส่งเสียไม่ต้องทำอะไร  บางคนมีเมียน้อยด้วยซ้ำ ฯลฯ เตี่ยกับแม่ไม่พูดกันไปหลายวัน
          การที่ก่ำกับผมไปเรียนที่อัสสัมชัญ ก็ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะชื่อเราเป็นจีน  นามสกุลเป็นจีน เพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็ล้อว่าเป็นเจ๊ก เขาตั้งฉายาต่างๆ ให้เราเจ็บอาย เช่น เรียกผมว่าไอ้ตี๋  เวลาเตี่ยต้องลงชื่อรับทราบรายงานความประพฤติและผลสอบในสมุดประจำตัวนักเรียน เตี่ยก็เขียนภาษาไทยไม่ได้ ต้องลงชื่อภาษาจีน ก่ำมีความอายเรื่องนี้มากกว่าผม  ตอนหลังๆ ถึงกับปลอมลายมือชื่อเตี่ยเป็นภาษาไทย  และเปลี่ยนชื่อให้เป็นไทยเสร็จ  เตี่ยเป็นลูกชายคนที่สามของปู่ ใครๆเรียก "ซา" ก่ำก็เปลี่ยนเป็น "สา" ฟังดูแล้วชื่อเป็นไทย
          อยู่โรงเรียน  เราทั้งสองพยายามให้เพื่อนๆ รับเราว่าเป็นคนไทย  พอกลับมาบ้าน  และโดยเฉพาะเมื่อไปหาลุงกับเตี่ยที่แพปลา บรรดาญาติทางเตี่ยที่มาร่วมทำมาหากินกับลุงก็มักจะล้อเลียนพวกเราว่า กลายเป็นคนไทยไปเสียแล้ว  พูดภาษาจีนก็ไม่ชัด กลายเป็น "ฮวนเกี๊ย" คือลูกชาวป่าเถื่อน เรายังเด็กอยู่รู้สึกอึดอัดใจเป็นกำลังเพราะโดนกระหนาบทั้งสองด้าน  ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน  แม่เป็นคนปลอบและให้กำลังใจแก่เรา  ท่านว่า "ฮวนเกี๊ย" ซีดี เกิดเมืองไทย อยู่เมืองไทย ต้องเป็นไทย ถ้าอยู่เมืองจีนเป็นคนจีนดีแล้วมาหากินในเมืองไทยกันทำไม  ท่านว่าท่านเลี้ยงลูกของท่านให้เป็นคนไทยจะได้ไม่ต้องเป็นจับกัง  คือกรรมกรแบกหามอย่างญาติที่ช่างล้อของเรา  ไม่ต้องหาบก๋วยเตี๋ยวขายอย่างเด็กๆ เพื่อนบ้าน และเพื่อนเล่นของเรา และไม่ต้องเป็นอั้งยี่ สมาชิกสมาคมลับของจีนที่เป็นอันธพาล

 

 

 

คัดลอกจากหนังสือ "ประสบการณ์ชีวิต และข้อคิดสำหรับคนหนุ่มสาว" โดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง)