ผู้หญิงในชีวิตของผม..แม่

กลับหน้าหลัก  

HOME

หน้า   1   2    3    4    5   6


          การครองชีพของเราอยู่ในระดับดีเกินกว่าปกติของแม่หม้ายที่เช่าห้องแถวอยู่  เมื่อก่ำกับผมยังเล็กอยู่  แม่เช่ารถม้าให้ไปส่งที่โรงเรียนบางรักและรับกลับเช้าเย็น  ไม่ให้นั่งรถรางเพราะไปห้อยโหนเดี๋ยวแข้งขาหัก  ไม่ให้เดินไปเพราะไกลเกินกำลัง  เสื้อผ้าแม่ให้นุ่งห่มผิดกว่าเพื่อนบ้าน  ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดของเพื่อนๆ ที่โรงเรียนซึ่งเป็นลูกคนมั่งมี  ที่ผมรำคาญมากก็คือให้ใส่แหวนและสร้อยคอทองคำ เพราะถ้าเด็กไม่มีทองติดตัวเขาจะดูถูกเอา  แม่ชอบดูละคร "ปราโมทัย" วิกเชียงกงอยู่ใกล้บ้าน  และให้ผมไปเป็นเพื่อนถือกระเป๋าหมากให้เสมอ  งานเรี่ยไร งานกฐิน ผ้าป่า เทศน์มหาชาติ เข้าพรรษา ออกพรรษา แม่ต้องร่วมด้วยทุกครั้งที่ถูกชวน  เพื่อนบ้านหรือญาติใครขัดสนมาออกมากยืมมักจะไม่ขัด เห็นแต่บ่นว่าให้ยืมกันไปแล้วไม่ใคร่ได้คืน
          เมื่อใช้จ่ายขนาดนี้  เงินที่ได้มาย่อมไม่พอแน่  ข้อนี้ผมทราบมาตั้งแต่เล็กอยู่แล้ว  เพราะถูกใช้ให้ไปขอยอยืมเงินจากพี่ป้าน้ำอาหลายคนหลายครั้ง  แต่ที่ไม่ทราบคือแม่ต้องมีภาระหนี้สินมากเพียงใด ท่านตีวงกู้ยืมเงินกว้างขึ้นทุกที  ทีแรกก็ญาติ  ต่อมาเพื่อน  และสุดท้ายก็คนอื่น ขั้นญาติและเพื่อนฝูงก็คงไม่ต้องเสียดอกเบี้ย  หรือถ้าเสียก็คงไม่แพงพอประมาณ  แต่ที่กู้จากคนอื่นๆ คงจะเพิ่มขึ้นมากทุกที ดอกคงจะแพงทับถมกันไป  แม่พูดเสมอว่าถึงอัตคัดเพียงใดก็ไม่ให้ใครมาดูถูก  ภาระการเงินแม่ว่าเป็นของแม่คนเดียว  ลูกเต้าหรือแม่ท่านน้องสาวท่านไม่ต้องเกี่ยวข้องไม่ต้องเป็นห่วง  แม่เป็นหม้ายเลี้ยงพวกเราอย่างนี้มาร่วม ๙ ปี ๑๐ ปี จน พ.ศ. ๒๔๗๖  ก่ำกับผมเรียนจบมัธยมปีที่แปด จึงออกมาทำงานกินเงินเดือนทั้งสองคน  พอจะช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านได้บ้าง  ดูเหมือนก่ำได้เงินเดือนๆละ ๕๐ บาท ผมเดือนละ ๔๐ บาท  แต่สายเกินไปเสียแล้ว เพราะหนี้สินของแม่ได้พอกพูนมาหลายปีเกินกว่าที่จะสามารถปลดเปลื้องด้วยเงินเดือนซึ่งอยู่ในระดับดีพอใช้
          จะเป็นปี พ.ศ. ๒๔๗๖  หรือ ๒๔๗๗ จำไม่ได้แน่ แม่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่สอง เงินหนึ่งหมื่นบาท  เพื่อนๆผมรู้กันกระฉ่อนไป และมักจะถามผมว่าได้ส่วนแบ่งเท่าไร  ผมก็ตอบโดยสัตย์จริงว่าแม่ให้ ๑๐ บาท ไม่มีใครเชื่อ ผมเองทราบดีว่าแม้เงิน ๑๐ บาทนั้น ได้มาก็เป็นบุญเมตตาของแม่มากแล้ว  เพราะเมื่อได้เงินรางวัลมาแม่ก็นำไปชำระหนี้ไถ่จำนำมาจนเกือบหมด  เหลืออยู่เล็กน้อยท่านนำไปลงทุนร่วมกับญาติทำการค้าขายเพื่อให้พี่ชายคนโต ๒ คน ได้มีงานทำเป็นหลักฐาน เท่าที่รู้ตอนนั้นก็เพียงเท่านี้  กระนั้นก็ยังไม่กล้าเล่าให้ใครฟังตามความเป็นจริงเพราะอายเขา  เรื่องที่แม่ปกปิดพวกเราแล้วเรามาทราบภายหลังนั้น เป็นเรื่องที่ฉกาจฉกรรจ์นัก  เมื่อเรื่องการเงินเรียบร้อยแล้วแม่จึงเล่าความจริงให้ฟังว่า  เมื่อก่อนจะถูกลอตเตอรี่นั้น  เจ้าหนี้กำลังเร่งรัดทวงหนี้แม่อยู่หลายราย วิ่งเต้นเท่าใดก็หาเงินมาชำระเขาไม่ได้ ขอผัดผ่อนไปได้บ้าง  แต่ภาระหนี้ก็รัดตัวเข้ามาทุกที  จนกลุ้มใจนอนไม่หลับ ครุ่นคิดอยู่ ๒ - ๓ คืน หาทางออกอย่างไรก็หาไม่ได้  ผลสุดท้ายเห็นมีทางออกอยู่ทางเดียว คือไปกระโดดน้ำตายเสียให้พ้นทุกข์ เผอิญรุ่งขึ้นก็ถูกลอตเตอรี่ เป็นเรื่องหวาดเสียวสยอง แต่ก็เป็นบุญพระช่วย

๖.  วิธีอบรมลูก

          แม่ผมมีความคิดแบบก้าวหน้าหลายอย่าง  แต่อบรมลูกส่วนใหญ่แบบโบราณ  คือ ทะนุถนอมจนเกินไป เช่น ให้ลูกผู้ชายนั่งรถม้าไปโรงเรียน ห้ามเด็ดขาดไม่ให้เล่นฟุตบอล  แม้แต่จะไปดูฟุตบอลก็ห้าม  ไปเล่นฟุตบอลเดี๋ยวแข้งขาหัก  ไปดูฟุตบอลเดี๋ยวก็แข้งขาหัก  เรื่องแข้งขาหักเป็นเรื่องที่แม่กลัวนัก  แต่ก็ไม่ว่ายที่ผมจะแอบหนีไปคือไปดูฟุตบอลเมื่อแม่ตั้งวงไพ่  ถ้าวันไหนอยากไปดูฟุตบอลแต่แม่ตั้งวงไพ่ไม่ได้ขาไม่ครบก็เป็นอด เพราะถ้าหนีไปแม่ก็ต้องรู้ จะเล่นฟุตบอลเราก็ไปสนามหลวงหรือลุมพินีในตอนเช้าตรู่ก่อนแม่ตื่น  เมื่อผมอายุ ๑๕ ปี ก็มีอุบัติเหตุแขนหักข้างขวาจนความแตก  ที่แขนหักนั้นไม่ใช่เพราะไปเล่นฟุตบอล  ตั้งใจจะไปเล่นที่ลุมพินี  แต่ยืมจักรยานเพื่อนขี่แล้วล้มในสนามนั้นเอง  พวกเราจะไปไหนตามปกติต้องขออนุญาตก่อนเสมอ  แม่ห้ามนักห้ามหนากลัวจะไปคบนักเลงแล้วจะเป็นอันธพาล  แต่กระนั้นผมก็ยังหลบหนีไปเล่นกีฬาอยู่เนืองๆ 
          แม่มีกิตติศัพท์เลื่องลือว่าดุ มีไม้เรียวอาญาสิทธิ์เหน็บไว้หลังกระจกข้างเก้าอี้ประจำตัวของท่านที่หน้าบ้าน  แต่ท่านมักใช้ไม้เรียวตีเด็กเล็กๆ และเลือกที่ตีคือที่ขา  ส่วนใหญ่ใช้ขู่มากกว่าตีจริงๆ แต่ถ้าถูกตีแล้วก็ทั้งเจ็บทั้งอาย  เนื่องจากแม่เป็นพี่สาวคนโต อาณาจักรแห่งอำนาจของท่านจึงกว้างขวางแผ่ไปถึงบ้านน้าๆผมหลายบ้าน  ลูกพี่ลูกน้องผมดื้อหรือ ซนหรือ ไม่กินยาหรือ ไม่กินข้าวหรือ ไม่อาบน้ำหรือ พอได้ยินว่า "คุณป้าใหญ่" หรือ "แม่ป้าใหญ่" มาแล้ว เป็นเรียบร้อย ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรของแม่เดี๋ยวนี้เป็นข้าราชการชั้นอธิบดีก็มี เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารพาณิชย์ก็มี เป็นนายตำรวจชั้นนายพันก็มี เป็นพนักงานธนาคารชาติก็ยังมี
          เวลาลูกลานทำการบ้านเรียบร้อย  อ่านหนังสือ วาดเขียน ทำงานฝีมือหรือสอบไล่ได้ผลดีแม่ก็พอใจ  แต่ไม่ชมต่อหน้า  แกล้งพูดให้คนอื่นฟังโดยรู้ว่าเราได้ยิน  เพราะพวกเรามักแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน  อยู่ร่วมกันในห้องแถวแคบๆ เช่นนั้น  ย่อมอดได้ยินได้ฟังอะไรๆไม่ได้  เมื่อผมสอบชิงทุนได้ไปเรียนเมืองนอกและทราบผลประกาศแล้ว แม่ก็จับตระเวนไปลาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทุกวันทั้งเช้าและบ่ายหลายสัปดาห์ บางครั้งรู้สึกระอาเพราะทั้งเบื่อและกระดากที่แม่พาไปโฆษณา  เพื่อของแม่บางคนที่ต้องไปลา ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย  แต่แม่บอกว่าเอาเถิดเอ็งถือกระเป๋าหมากให้แม่  ไปเป็นเพื่อนแม่ก็แล้วกัน  เคราะห์ดีผมทนไปกับแม่ทุกนัด  ถ้าไม่ไปคงนึกเสียดายและเสียใจมาจนถึงบัดนี้ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะทำตามใจแม่  ผมไปเมืองนอกเดือนเมษายน ๒๔๘๑  ต่อมาอีก ๖ เดือน แม่ก็ตาย

คัดลอกจากหนังสือ "ประสบการณ์ชีวิต และข้อคิดสำหรับคนหนุ่มสาว" โดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโกมลคีมทอง)